บันทึกการเรียนครั้งที่ 2

บันทึกการเรียนครั้งที่ 2
วันจันทร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ.2561

ในสัปดาห์นี้ อาจารย์ให้นำเสนองานกลุ่ม ที่ได้รับมอบหมายในสัปดาห์ที่แล้ว 



กลุ่มที่ 1
 นำเสนอเรื่องพัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย

อ่านเพิ่มเติมอย่างละเอียดได้ที่นี่

สิ่งที่ต้องเพิ่มเติม
-เสริมพัฒนาการต่างๆ
-ทฤษฎีของนักทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการมาเชื่อมโยง

กลุ่มที่ 2 
นำเสนอเรื่องความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย



อาทิ

ความสนใจของเด็กปฐมวัย
สิ่งที่เด็กปฐมวัยสนใจน้ัน ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบ ๆ ตัวของ
เด็กนั่นเอง ที่เป็ นเช่นนี้ เพราะเด็กปฐมวัยยังมีลักษณะของการยึดตนเอง
เป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้ช่วงเวลาของความสนใจของเด็กปฐมวัยจะ
ค่อนข้างสั้น โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 2 – 3 นาที จึงเห็นได้ว่าเด็กในวัยนี้
ชอบที่จะเปลี่ยนกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา

ความต้องการของเด็กปฐมวัย

ร่างกาย  -กระโดด ออกกำลังกาย สนุกสนาน
              -ช่วยเหลือตนเอง ใส่เสื้อ ใส่รองเท้าเอง
              -นอน 10-12 ชม.
อารมณ์  -ระบายอารมณ์อย่างอิสระ
              -ได้ความรักและความใกล้ชิด
              -ไม่ชอบโดนขัดใจ
สังคม     -เล่นในกลุ่มเล็กๆ แต่ไม่เล่นด้วยกัน (เล่นแบบคู่ขนาน)
              -ทะเลาะกันง่าย ลืมง่าย
สติปัญญา  -ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือคิดแก้ปัญหา

>>ความต้องการ มาจากพัฒนาการ<<

กลุ่มที่ 3 
นำเสนอเรื่องการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย


เพียเจท์  (Piaget)
การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยว่าเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานของโครงสร้างทางปัญญา  เป็นวิธีที่เด็กจะเริ่มต้นด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับสิ่งแวดล้อม

สิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระบวนการมี  2  อย่างคือ
1. การขยายโครงสร้าง  คือ  การที่บุคคลได้รับประสบการณ์
หรือรับรู้สิ่งใหม่เข้าไปผสมผสานกับความรู้เดิม
2. การปรับเข้าสู่โครงสร้าง  คือการที่โครงสร้างทางปัญญาของบุคคลนำเอาความรู้ใหม่ที่ได้ปรับปรุงความคิดให้เข้ากับสภาพแวดล้อม

เพียเจท์   
แบ่งพัฒนาการทางสติปัญญาออกเป็น  4  ขั้น
1.ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหว (Sensorimotor Stage) 
2. ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการ (Pre – Operational Stage) 
3. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบรูปธรรม (Concrete Operational Stage)
4. ขั้นปฏิบัติการคิดแบบนามธรรม (Formal Operational 

ไวกอสกี้  (Vygotsky)
เด็กจะเกิดการเรียนรู้ พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยที่การเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นภายในการทำงานของ  Zone of proximal development ซึ่งเป็นสภาวะที่เด็กต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทาย  ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาโดยลำพัง แต่ถ้าได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์
เด็กจะสามารถแก้ปัญหานั้นและจะเกิดการเรียนรู้ได้

บรูเนอร์(Bruner) 
แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยออกเป็น 3 ขั้น
1.ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ (Enactive stage)
2.ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ (Inconic stage)
3.ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์ (Symbolic stage)

สิ่งที่ต้องเพิ่มเติม
-ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้

วัตสัน
แนวคิด    

วัตสัน ได้นำเอาทฤษฎีของ Pavlov มาเป็นหลัก

สำคัญ ในการอธิบายเรื่องการเรียนรู้แนวความคิดของ Watson ก็คือ การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคทำให้เกิดการเรียนรู้กล่าวคือ การใช้สิ่งเร้าสองสิ่งมาคู่กันคือสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (CS) กับสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข (UCR) แล้วทำให้เกิดการตอบสนองอย่างเดียวกัน 

การทดลอง    
เริ่มโดยผู้วิจัยเคาะแผ่นเหล็ก ให้ดังขึ้นให้เสียงดังกล่าวเป็นสิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข (UCS) ซึ่งจะก่อให้เกิดการตอบสนองที่ไม่ต้องวางเงื่อนไข (UCR) คือ ความกลัว Watsonได้ใช้หนูขาวเป็นสิ่งเร้าที่ต้องวางเงื่อนไข (CS) มาล่อหนูน้อยอัลเบิร์ต (Albert) อายุ 11 เดือน ชอบหนูขาวไม่แสดงความกลัว แต่ขณะที่หนูน้อยยื่นมือไปจับเสียงแผ่นเหล็กก็ดัง ขึ้น ซึ่งทำให้หนูน้อยกลัว ทำคู่กันเช่นนี้เพียงเจ็ดครั้งในระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ ปรากฏว่าตอนหลังหนูน้อยเห็นแต่เพียงหนูขาวก็แสดงความกลัวทันที 

จากการทดลอง วัตสัน สรุปเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ได้ดังนี้ 

1)พฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถควบคุมให้เกิดขึ้นได้ โดยการควบคุมสิ่งเร้า ที่วาง 
เงื่อนไขให้สัมพันธ์กับสิ่งเร้าตามธรรมชาติและการเรียนรู้จะคงทนถาวร หากมีการให้สิ่งเร้าที่สัมพันธ์กันนั้นควบคู่กันไปอย่างสม่ำเสมอ 
2)เมื่อสามารถทำให้เกิดพฤติกรรมใดๆได้ก็สามารถลดพฤติกรรมนั้นให้หายไปได้

การนำไปประยุกต์ใช้   สามารถนำความรู้ไปแก้ไขปัญหาด้านความ 
กลัวของเด็กหรือวางเงื่อนไขเพื่อให้เกิดการตอบสนองในเรื่องที่ต้องการให้แสดงพฤติกรรม 

พาฟลอฟ 
การทดลอง 
นักสรีระวิทยาชาวรัสเซียชื่อ พาฟลอฟ (Pavlov,1849-1936)ได้ทำการทดลองโดยสั่นกระดิ่งก่อนที่จะเอาอาหาร (ผงเนื้อ) ให้แก่สุนัข เวลาระหว่างการสั่นกระดิ่งและการให้ผงเนื้อแก่สุนัขต้องเป็นเวลาที่กระชั้นชิดมากประมาณ .25 ถึง .50 วินาทีทำซ้ำควบคู่กันหลายครั้ง และในที่สุดหยุดให้อาหารเพียงแต่สั่นกระดิ่งก็ปรากฏว่าสุนัขก็ยังคงมีน้ำลายไหลได้ โดยที่ข้างแก้มของสุนัขติดเครื่องมือวัดระดับการไหลของน้ำลายไว้ ปรากฏการเช่นนี้เรียกว่า พฤติกรรมของสุนัขถูกวางเงื่อนไข (Povlov, 1972) หรือที่เรียกว่าสุนัขเกิดการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค

แนวคิด
การเรียนรู้ที่เรียกว่า classical conditioning นั้นหมายถึงการเรียนรู้ใดๆก็ตามซึ่งมีลักษณะ
การเกิดตามลำดับขั้นดังนี้

1. ผู้เรียนมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าใดสิ่งเร้าหนึ่ง โดยไม่สามารถบังคับได้ มีลักษณะ reflex เกิดขึ้นเองโดยไม่มีการเรียนรู้ ( unconditioned ) เป็นไปโดยอัตโนมัติ ผู้เรียนไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมได้ พฤติกรรมชนิดนี้มีทั้งในสัตว์และในคน เช่น หมาเห็นอาหารแล้วน้ำลายไหล หรือการที่คนกะพริบตาเพราะมีลมผ่านหรือการที่ขากระตุกเมื่อโดนเคาะบริเวณหัวเข่า
2. การเรียนรู้เกิดขึ้นเพราะความใกล้ชิดและการฝึกหัด โดยการนำสิ่งเร้าที่มีลักษณะเป็นกลาง คือไม่สามารถทำให้เกิดการตอบสนองได้มาเป็น conditioned stimulus (cs) โดยนำมาควบคู่กับสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดการตอบสนองโดยอัตโนมัติในเวลาใกล้เคียงกัน และทำซ้ำๆ ในที่สุดสิ่งเร้าที่เป็นกลางจะมีผลทำให้ผู้เรียนเกิดการตอบสนอง ในช่วงที่ผู้เรียนเกิดการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เคยเป็นกลางนั้นเรียกว่าเกิดการเรียนรู้ชนิดมี conditioned

สรุป การทดลองที่จัดว่าเป็น classical ได้ให้ concept ใหญ่ๆ 4 ข้อด้วยกัน ซึ่งถือว่าเป็นหลักสำคัญของ S - R Theory คือ

1. กฎการสรุปกฎเกณฑ์ทั่วไป(Law of Generalization) หรือ การแผ่ขยาย( Generalization) คือ ความสามารถของอินทรีย์ที่จะตอบสนองในลักษณะเดิมต่อสิ่งเร้าที่มีความคล้ายคลึงกันได้ เมื่อหมาเกิดการเรียนรู้ว่าเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งจะได้อาหารหมามีแนวโน้มที่จะสนองตอบต่อเสียงใดๆก็ได้ที่คล้ายกับเสียงกระดิ่ง 
2. กฎการจำแนกความแตกต่าง(Law of Discrimination) คือ ความสามารถของอินทรีย์ในการที่จะจำแนกความแตกต่างของสิ่งเร้าได้ การสอนให้หมารู้จักแยกเสียงที่ต้องการให้เรียนรู้จากเสียงอื่นๆ ให้ใช้การเสริมแรงภายหลังสิ่งที่ต้องการ 
3. กฎการลดภาระ(Law of Extinction) หรือ การลบพฤติกรรมชั่วคราว( Extinction) คือ การที่พฤติกรรมตอบสนองลดน้อยลงอันเป็นผลเนื่องจากการที่ไม่ได้รับสิ่งเร้าที่ไม่ได้
ถูกวางเงื่อนไข ซึ่งในที่นี้ก็คือรางวัลหรือสิ่งที่ต้องการนั่นเอง 
4. กฎการฟื้นคืนสภาพเดิมตามธรรมชาติ(Law of Spontaneous recovery) หรือ การ ตัวของการตอบสนองที่วางเงื่อนไข (Spontaneous recovery) หลังจากการลบพฤติกรรมชั่วคราว แล้ว สักระยะหนึ่งพฤติกรรมที่ถูกลบเงื่อนไขแล้วอาจฟื้นตัวขึ้นมาอีกเมื่อได้การกระตุ้นโดยสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (CS)

กลุ่มที่ 4
นำเสนอเรื่องการสอนแบบโครงการ Project Approach


การสอนแบบโครงการ
การจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งซึ่งให้ความสำคัญกับเด็ก 
ส่งเสริมให้เด็กแสวงหาคำตอบจากการเรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึก
เพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยที่เด็กหรือครูร่วมกันกำหนดเรื่อง
ที่ต้องการเรียนรู้ แล้วดำเนินการแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา 
โดยครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
และจากแหล่งเรียนรู้

วิธีจัดการเรียนการสอนมี 3 ระยะ
ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ เด็กจะร่วมกันคิดเรื่องที่สนใจ
ระยะที่ 2 การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนรู้
ระยะที่ 3 การสรุปProjects

ประโยชน์การสอนแบบโครงการที่มีต่อเด็กปฐมวัย
-เด็กจะเห็นคุณค่าของตนเอง เป็นแนวทางให้เด็กพึ่งพาตนเองได้
-ส่งเสริมให้เด็กมีโอกาสที่จะประยุกต์ใช้ทักษะที่มีอยู่
-เด็กเกิดแรงจูงใจภายในและความสามารถที่เกิดจากตัวเด็กเอง
-เด็กรู้จักตัดสินใจว่าควรทำอะไร และผู้ใหญ่ยอมรับ      
-ในความต้องการของเด็ก
-เด็กสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีความสุข สนุกสนาน
-เพราะเด็กได้เรียนในสิ่งที่ตนเองสนใจ รู้จักประยุกต์ใช้ความรู้
-ส่งเสริมให้เด็กมีวิธีการทำงานอย่างมีแบบแผน
-สามารถนำรูปแบบการสืบค้นความรู้ไปใช้ได้ในชีวิตจริง
-สร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและครอบครัว 
-เนื่องจากการสอนแบบโครงการ พ่อแม่ ผู้ปกครองจะต้องร่วมมือกับครู
-สนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กทุกรูปแบบ

คำศัพท์
1.Inconic = ความคิด จินตนาการ
2.Project = โครงการ
3.Concrete = รูปธรรม
4.Differences = ความแตกต่าง
5.Equilibration =การปรับสมดุล


การประเมิน
อาจารย์=สอนได้สนุก มีการแชร์ข้อมูลกันและกัน เพิ่มเติมในสิ่งที่นักศึกษาไม่เข้าใจ
เพื่อน=ตั้งใจเรียน แต่งกายเรียบร้อย ตรงต่อเวลา เตรียมตัวนำเสนอมาดี
ตนเอง=เตรียมตัวในการนำเสนอตรงต่อเวลา แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียน

ความคิดเห็น